ประวัติ ของ พระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล)

ประวัติตอนต้น

พระสุจริตสุดามีชื่อเดิมว่า เปรื่อง สุจริตกุล เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2438 ณ บ้านปากคลองด่าน ประตูน้ำภาษีเจริญ[3] เป็นธิดาคนโตจากบุตรจำนวน 12 คนของเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (ปลื้ม สุจริตกุล) อธิบดีผู้พิพากษาศาลต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม[4] กับท่านผู้หญิงกิมไล้ สุธรรมมนตรี (สกุลเดิม เตชะกำพุช) มีน้องสาวที่เป็นที่รู้จักคือประไพ ที่ต่อมาได้เป็นสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา และท่านผู้หญิงพัว อนุรักษ์ราชมนเฑียร

บุรพชนฝั่งบิดาเป็นราชินิกุลเชื้อสายจีน[5] โดยปู่คือพระยาราชภักดี (โค สุจริตกุล) เป็นน้องชายร่วมบิดามารดาของสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา (นามเดิม เปี่ยม สุจริตกุล)[6] พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ส่วนบุรพชนฝ่ายมารดาคือขุนพัฒน์ (แต้หอย) ชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพเข้าสยามช่วงปี พ.ศ. 2407 ต้นสกุลเตชะกำพุช[7]

เปรื่องเป็นพี่สาวคนโตของครอบครัวที่ต้องดูแลน้อง ๆ โดยเฉพาะประไพ น้องสาวคนเล็ก ซึ่งโปรดการขี่ม้าเล่นด้วยกันเสมอ[6] ต่อมาเมื่อครั้งที่เธอจะโกนจุก ได้เข้าไปในพระบรมมหาราชวังเพื่อให้ท้าววนิดาพิจาริณี (เจ้าจอมเพิ่ม ในรัชกาลที่ 5) ผู้เป็นอาแต่งตัวให้ตามประเพณี แล้วสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทอดพระเนตรเห็นเข้า ก็โปรดให้เข้าถวายตัวหลังการโกนจุก และมีโอกาสเข้าศึกษาในโรงเรียนราชินี จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แล้วลาออกจากโรงเรียน และทูลลาออกมาพำนักที่บ้าน[8]

ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงหมั้นกับพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี ก็โปรดให้เปรื่องมาเป็นนางพระกำนัลของพระองค์เจ้าวัลลภาเทวี[8] และในเวลาต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณ ก็ทรงแต่งตั้งให้เปรื่องเป็นนางพระกำนัลตามเสด็จพระองค์เจ้าลักษมีลาวัณต่อไป[4] และได้ตามเสด็จพระราชดำเนินในพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เมื่อปี พ.ศ. 2463 ที่มีการจัดตั้งกองเสือป่าหญิงขึ้น ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เปรื่อง สุจริตกุล รับพระราชทานยศนายกกองเสือป่าหญิงรุ่นแรกด้วย[9]

ขณะที่เปรื่องมีอายุราว 18 ปี ก็ได้รับอุปการะนิภา อภัยวงศ์ (ชื่อเดิม ทองคำ พุ่มทองสุก) มาเป็นบุตรบุญธรรม โดยทำหน้าที่เป็นทั้งผู้เลี้ยง ผู้สอนหนังสือและการขับร้องด้วยตนเอง[10] และได้อุปการะหม่อมเจ้าสีดาดำรวง ชุมพล (ราชสกุลเดิม สวัสดิวัตน์) แต่ต่อมาได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอุปการะแทน[11]

อภิเษกสมรส

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระสุจริตสุดา ในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส

เมื่อเปรื่องมีอายุได้ 26 ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงขอเปรื่องจากเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี ซึ่งบางคนกล่าวกันว่าในเวลานั้นเปรื่องมีคนรักอยู่แล้ว[12] และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรส ณ พระราชวังพญาไท เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2464 และถือเป็นสุภาพสตรีสามัญชนคนแรกที่ได้เข้าพิธีดังกล่าว โดยสวมชุดเป็นเจ้าสาวแบบอังกฤษคือสวมเสื้อกระโปรงสีขาว มีผ้าโปร่งสีขาวคลุมศีรษะ ประดับดอกส้ม และถือช่อดอกไม้[9] ทรงคล้องพระกรกับเปรื่อง ทรงพระดำเนินลอดซุ้มประสานดาบ โดยมีเพลงไบรดัลคอรัสบรรเลงขณะดำเนินพิธี[4] มีการพระราชทานน้ำสังข์เป็นทางการด้วยพระกรุณาของสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น พระสุจริตสุดา[13] ตำแหน่งพระสนมเอก พร้อมทั้งพระราชทานตราจุลจอมเกล้าให้สมกับศักดิ์พระสนมเอก เป็นสตรีคนแรกที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ "คุณพระ"[14] หากเมื่อใดตั้งครรภ์จะสถาปนาขึ้นเป็นเจ้า แต่อย่างไรก็ตามพระสุจริตสุดามิได้มีครรภ์สมดั่งพระราชประสงค์[15]

ในเวลาต่อมาเจ้าคุณพระประยุรวงศ์ (เจ้าคุณจอมมารดาแพ ในรัชกาลที่ 5) มีความประสงค์ที่จะถวายตัวหญิงนักเรียนนอกจากสกุลบุนนาคเป็นฝ่ายในเพื่อเฉลิมพระเกียรติยศ แต่พระสุจริตสุดาได้กราบทูลว่าจะถวายน้อง ๆ ของตนเองแทน[16] ด้วยเหตุนี้พระสุจริตสุดาจึงให้ประไพ ซึ่งเป็นน้องสาวไปถวายการรับใช้บ่อย ๆ ครั้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2464 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงสถาปนาประไพ สุจริตกุลเป็นพระอินทรานี และต่อมาได้สถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณขึ้นเป็นพระนางเธอ ลักษมีลาวัณ และอาศัยร่วมกันในพระราชวังพญาไท หากมีพระราชพิธี พระนางเธอ ลักษมีลาวัณจะเป็นผู้นำและประทับคู่กับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระสุจริตสุดาและพระอินทรานีเดินตามอย่างธรรมเนียมโบราณ แต่ภายหลังพระนางเธอ ลักษมีลาวัณทรงแยกไปอยู่ในพระตำหนักในพระราชวังดุสิต[17] ส่วนพระอินทรานีได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้านายเพราะตั้งพระหน่อ[18] เป็นสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาเป็นตำแหน่งสุดท้าย[19] พระสุจริตสุดาโดยเสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่ต่าง ๆ พร้อมกับพระราชสวามี และสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาเสมอ[20] และพระสุจริตสุดาเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่อยู่ในพระราชวังพญาไทคอยปรนนิบัติพัดวีพระราชสวามีตลอดรัชกาล มีบางครั้งที่พระสุจริตสุดาไม่ขึ้นเฝ้าเพราะสุขภาพไม่อำนวย แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิทรงกริ้ว หากแต่ทรงเมตตาและไว้วางพระราชหฤทัยมาตลอด[4]

พระสุจริตสุดาสนใจเรื่องดนตรีโดยเฉพาะการขับร้องซึ่งมีความชำนาญเป็นเลิศ[10] คอยถวายงานจัดเครื่องดนตรี เครื่องสายผสมบรรเลงทุกเวลาค่ำ[18] เคยเป็นต้นเสียงร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายา เมื่อ พ.ศ. 2464 คราวที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดการแสดงโขนตอนนางลอย และพระองค์ทรงพากย์ด้วยพระองค์เอง ด้วยความที่ท่านชื่นชอบดนตรีไทยเป็นชีวิตจิตใจ ช่วงเวลาดังกล่าวพระสุจริตสุดาได้รับอุปการะเด็กอายุ 10-15 ปี เพื่อมาเป็นนักดนตรี อาทิ นิภา อภัยวงศ์, ทองดี สุจริตกุล[21] และสุมิตรา สุจริตกุล (สกุลเดิม สิงหลกะ) ไว้คอยเล่นดนตรีแสดงถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวหลังสิ้นการเสวยพระกระยาหาร ณ พระราชวังพญาไทเป็นประจำ[22]

หลังการสวรรคตของพระสวามี

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายกับพระนางเจ้าสุวัทนา และพระสุจริตสุดา พร้อมครอบครัวข้าราชบริพารคนสนิท เมื่อปี พ.ศ. 2467

หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสุจริตสุดาได้พำนักอยู่ภายในวังสวนสุนันทา แล้วจึงย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านพระสุจริตสุดา ถนนพระราม 5 หลังโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยอันเป็นที่ดินซึ่งได้รับพระราชทาน[10] ทั้งรับส่วนแบ่งพระราชมฤดกของพระสวามีอีกจำนวนหนึ่ง[23]

อย่างไรก็ตามพระสุจริตสุดายังคงสนใจเรื่องเกี่ยวกับดนตรี ได้จัดตั้งวงเครื่องสายผสมเปียโนหญิงวงแรกของคณะนารีศรีสุมิตร เป็นวงดนตรีเครี่องคู่ ประกอบด้วยจะเข้, ซออู้, ซอด้วง, ฉิ่ง, โทน, รำมะนา และเปียโน โดยมีสุมิตรา สุจริตกุล เป็นผู้เล่นเปียโนและควบคุมวงดนตรี พระสุจริตสุดาสนใจในการเล่นเปียโนเป็นพิเศษ วงดนตรีคณะนี้ได้นำเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมาขับร้อง อาทิ เพลงตับในเรื่องวิวาหพระสมุท คือเพลงโยนดาบ, จีนหน้าเรือ, ปี่แก้ว, ตะนาวแปลง เป็นต้น[22] และยังได้แต่งคำร้องเพลง สุดาสวรรค์ โดยมีสุมิตรา สุจริตกุล เป็นผู้แต่งทำนอง[20]

ด้านการกุศลได้บริจาคทรัพย์บำรุงโรงพยาบาลต่าง ๆ อาทิ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และบริจาคทุนทรัพย์เพื่อสร้าง ตึกสุจริตสุดา ในโรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น[20]

ถึงแก่อนิจกรรม

ในปัจฉิมวัย พระสุจริตสุดาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทั้งค่าใช้จ่ายประจำ ค่ายใช้จ่ายยามเจ็บป่วย[4] และที่พำนักในบริเวณที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซอยต้นสน ถนนเพลินจิต กรุงเทพมหานคร

จนถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2524 พระสุจริตสุดาได้ป่วยลงและเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชจนถึงอนิจกรรมเมื่อวันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2524 เวลา 22.45 น. รวมอายุได้ 85 ปี 3 เดือน 26 วัน และได้รับพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุหน้าพลับพลาอิสริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2526[20]

แหล่งที่มา

WikiPedia: พระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) http://lovesiamoldbook.tarad.com/product.detail.ph... http://www.thailanewspaper.com/article/bayarea/140... http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1... http://www.kingvajiravudh.org/main/index.php/2009-... http://www.kpi.ac.th/media_kpiacth/pdf/M8_394.pdf http://mulinet3.li.mahidol.ac.th/elib/cgi-bin/opac... http://sirindhornmusiclibrary.mahidol.ac.th/musicl... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2464/D/... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2464/D/... http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2464/D/...